วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วันสุนทรภู่


พระสุนทรโวหาร (ภู่) มีนามเดิมว่า ภู่ เป็นบุตรขุนศรีสังหาร (พลับ) และแม่ช้อย เกิดในรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันจันทร์ เดือนแปด ขึ้นหนึ่งค่ำ ปีมะเมีย จุลศักราช ๑๑๔๘ เวลาสองโมงเช้า ตรงกับวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๒๙ ที่บ้านใกล้กำแพงวังหลัง คลองบางกอกน้อย
สุนทรภู่เกิดได้ไม่นาน บิดามารดาก็หย่าจากกัน ฝ่ายบิดากลับไปบวชที่บ้านกร่ำ เมืองแกลง ส่วนมารดา คงเป็นนางนมพระธิดา ในกรมพระราชวังหลัง (กล่าวกันว่าพระองค์เจ้าจงกล หรือเจ้าครอกทองอยู่) ได้แต่งงานมีสามีใหม่ และมีบุตรกับสามีใหม่ ๒ คน เป็นหญิง ชื่อฉิมและนิ่ม ตัวสุนทรภู่เองได้ถวายตัว เป็นข้าในกรมพระราชวังหลังตั้งแต่ยังเด็ก

สุนทรภู่เป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอน สันทัดทั้งสักวาและเพลงยาว เมื่อรุ่นหนุ่ม เกิดรักใคร่ชอบพอ กับนางข้าหลวง ในวังหลัง ชื่อแม่จัน ครั้นความทราบถึง กรมพระราชวังหลัง พระองค์ก็กริ้ว รับสั่งให้นำสุนทรภู่ และจันไปจองจำทันที แต่ทั้งสองถูกจองจำได้ไม่นาน

เมื่อกรมพระราชวังหลังเสด็จทิวงคตในปี พ.ศ. ๒๓๔๙ ทั้งสองก็พ้นโทษออกมา เพราะเป็นประเพณีแต่โบราณ ที่จะมีการ ปล่อยนักโทษ เพื่ออุทิศส่วนพระราชกุศลแด่ พระมหากษัตริย์หรือพระราชวงศ์ ชั้นสูงเมื่อเสด็จสวรรคต หรือทิวงคตแล้ว แม้จะพ้นโทษ สุนทรภู่และจันก็ยังมิอาจสมหวังในรัก สุนทรภู่ถูกใช้ไปชลบุรี ดังความตอนหนึ่งในนิราศเมืองแกลงว่า

"จะกรวดน้ำคว่ำขันจนวันตาย แม้เจ้านายท่านไม่ใช้แล้วไม่มา"

แต่เจ้านายท่านใดใช้ไป และไปธุระเรื่องใดไม่ปรากฎ อย่างไรก็ดี สุนทรภู่ได้เดินทางเลยไปถึงบ้านกร่ำ เมืองแกลง จังหวัดระยอง เพื่อไปพบบิดาที่จากกันกว่า ๒๐ ปี สุนทรภู่เกิดล้มเจ็บหนักเกือบถึงชีวิต กว่าจะกลับมากรุงเทพฯ ก็ล่วงถึงเดือน ๙ ปี พ.ศ.๒๓๔๙

วัยฉกรรจ์ (พ.ศ.๒๓๕๐ - ๒๓๕๙) อายุ ๒๑ - ๓๐ ปี

หลังจากกลับจากเมืองแกลง สุนทรภู่ได้เป็นมหาดเล็กของพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ พระโอรสองค์เล็ก ของกรมพระราชวังหลัง ซึ่งทรงผนวชอยู่ที่วัดระฆัง ในช่วงนี้ สุนทรภู่ก็สมหวังในรัก ได้แม่จันเป็นภรรยา

สุนทรภู่คงเป็นคนเจ้าชู้ แต่งงานได้ไม่นาน ก็เกิดระหองระแหงกับแม่จัน ยังไม่ทันคืนดี สุนทรภู่ก็ต้อง ตามเสด็จพระองค์เจ้า ปฐมวงศ์ไปนมัสการพระพุทธบาท จ.สระบุรี ในวันมาฆบูชา สุนทรภู่ได้แต่งนิราศ เรื่องที่สองขึ้น คือ นิราศพระบาท สุนทรภู่ตามเสด็จกลับถึงกรุงเทพฯ ในเดือน ๓ ปี พ.ศ.๒๓๕๐

สุนทรภู่มีบุตรกับแม่จัน ๑ คน ชื่อหนูพัด แต่ชีวิตครอบครัวก็ยังไม่ราบรื่นนัก ในที่สุดแม่จันก็ร้างลาไป พระองค์เจ้าจงกล (เจ้าครอก ทองอยู่) ได้รับอุปการะหนูพัดไว้ ชีวิตของท่านสุนทรภู่ช่วงนี้คงโศกเศร้ามิใช่น้อย

ประวัติชีวิตของสุนทรภู่ในช่วงปี พ.ศ.๒๓๕๐ - ๒๓๕๙ ก่อนเข้ารับราชการ ไม่ชัดแจ้ง แต่เชื่อว่าท่าน หนีความเศร้าออกไป เพชรบุรี ทำไร่ทำนาอยู่กับหม่อมบุญนาคในพระราชวังหลัง ดังความตอนหนึ่งในนิราศ เมืองเพชร ที่ท่านย้อนรำลึกความหลัง สมัยหนุ่ม ว่า

"ถึงต้นตาลบ้านคุณหม่อมบุญนาค เมื่อยามยากจนมาได้อาศัย
มารดาเจ้าคราวพระวังหลังครรไล มาทำไร่ทำนา ท่านการุญ"

รับราชการครั้งที่ ๑ (พ.ศ.๒๓๕๙ - ๒๓๖๗) อายุ ๓๐ - ๓๘ ปี

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงเป็นมหากวีและทรงสนพระทัยเรื่องการละครเป็นอย่างยิ่ง ในรัชสมัยของ พระองค์ ได้กวดขันการฝึกหัดวิธีรำจนได้ที่ เป็นแบบอย่างของละครรำมาตราบทุกวันนี้ พระองค์ยังทรงพระราชนิพนธ์บทละคร ขึ้นใหม่อีกถึง ๗ เรื่อง มีเรื่องอิเหนาและเรื่องรามเกียรติ์ เป็นต้น

มูลเหตุที่สุนทรภู่ได้เข้ารับราชการ น่าจะเนื่องมาจากเรื่องละครนี้เอง ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับกรณีทอดบัตรสนเท่ห์ เพราะจากกรณี บัตรสนเท่ห์นั้น คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องถูกประหารชีวิตถึง ๑๐ คน แม้แต่ นายแหโขลน คนซื้อกระดาษดินสอ ก็ยังถูกประหารชีวิต ด้วย มีหรือสุนทรภู่จะรอดชีวิตมาได้ นอกจากนี้ สุนทรภู่เป็นแต่เพียงไพร่ มีชีวิตอยู่นอกวังหลวง ช่วงอายุก่อนหน้านี้ก็วนเวียน และเวียนใจอยู่กับเรื่องความรัก ที่ไหนจะมี เวลามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมือง

(กรณีวิเคราะห์นี้ มิได้รับรองโดยนักประวัติศาสตร์ เป็นความเห็นของคุณปราโมทย์ ทัศนาสุวรรณ เขียนไว้ในหนังสือ "เที่ยวไปกับสุนทรภู่" ซึ่งเห็นว่ามูลเหตุที่สุนทรภู่ได้เข้า รับราชการ น่าจะมาจากเรื่องละครมากกว่าเรื่องอื่น ซึ่งข้าพเจ้า พิเคราะห์ดูก็เห็นน่าจะจริง ผิดถูกเช่นไรโปรดใช้วิจารณญาณ)

อีกคราวหนึ่งเมื่อทรงพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ตอนศึกสิบขุนสิบรถ ทรงพระราชนิพนธ์บทชมรถทศกัณฐ์ว่า

"๏ รถที่นั่ง บุษบกบัลลังก์ตั้งตระหง่าน
กว้างยาวใหญ่เท่าเขาจักรวาล ยอดเยี่ยมเทียมวิมานเมืองแมน
ดุมวงกงหันเป็นควันคว้าง เทียมสิงห์วิ่งวางข้างละแสน
สารถีขี่ขับเข้าดงแดน พื้นแผ่นดินกระเด็นไปเป็นจุณ"

ทรงพระราชนิพนธ์มาได้เพียงนี้ ทรงนึกความที่จะต่อไปอย่างไรให้สมกับที่รถใหญ่โตปานนั้นก็นึกไม่ออก
จึงมีรับสั่งให้สุนทรภู่แต่งต่อ สุนทรภู่แต่งต่อว่า

"นทีตีฟองนองระลอก กระฉอกกระฉ่อนชลข้นขุ่น
เขาพระเมรุเอนเอียงอ่อนละมุน อนนต์หนุนดินดานสะท้านสะเทือน
ทวยหาญโห่ร้องก้องกัมปนาท สุธาวาสไหวหวั่นลั่นเลื่อน
บดบังสุริยันตะวันเดือน คลาดเคลื่อนจัตุรงค์ตรงมา"

กลอนบทนี้เป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยยิ่งนัก นับแต่นั้นก็นับสุนทรภู่เป็นกวีที่ปรึกษาด้วย
อีกคนหนึ่ง ทรงตั้งเป็นที่ขุนสุนทรโวหาร พระราชทานที่ให้ปลูกเรือนที่ท่าช้าง และให้มีตำแหน่งเฝ้าฯ เป็นนิจ
แม้เวลาเสด็จประพาสก็โปรดฯ ให้สุนทรภู่ลงเรือพระที่นั่งไปด้วย เป็นพนักงานอ่านเขียนในเวลาทรงพระราชนิพนธ์บทกลอน

ออกบวช (พ.ศ.๒๓๖๗ - ๒๓๘๕) อายุ ๓๘ - ๕๖ ปี

วันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๓๖๗ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคต นอกจากแผ่นดินและผืนฟ้าจะร่ำไห้ ไพร่ธรรมดาคนหนึ่งที่มีโอกาสสูงสุดในชีวิต ได้เป็นถึงกวีที่ปรึกษา ในราชสำนักก็หมดวาสนาไปด้วย

"ทรงขัดเคืองสุนทรภู่ว่าแกล้งประมาทอีกครั้งหนึ่ง แต่นั้นก็ว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมึนตึงต่อสุนทรภู่มา จนตลอดรัชกาลที่ ๒ ... "

จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เพียงคิดได้ด้วยเฉพาะหน้าตรงนั้นก็ตาม สุนทรภู่ก็ได้ทำการไม่เป็นที่พอพระราชหฤทัย ประกอบกับ ความอาลัยเสียใจหนักหนาในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สุนทรภู่ จึงลาออกจากราชการ และตั้งใจบวชเพื่อสนอง พระมหากรุณาธิคุณ สุนทรภู่ได้เผยความในใจนี้ ในตอนหนึ่ง ของนิราศภูเขาทอง ว่า

"จะสร้างพรตอตส่าห์ส่งบุญถวาย ประพฤติฝ่ายสมถะทั้งวสา เป็นสิ่งของฉลองคุณมุลิกา ขอเป็นข้าเคียงพระบาททุกชาติไป"

เมื่อบวชแล้ว ท่านได้ออกจาริกแสวงบุญไปยังที่ต่างๆ เล่ากันว่า ท่านได้เดินทางไปยังหัวเมืองต่างๆ หลายแห่ง เช่นเมืองพิษณุโลก เมืองประจวบคีรีขันธ์ จนถึงเมืองถลางหรือภูเก็ต และเชื่อกันว่า ท่านคงจะเขียนนิราศเมืองต่างๆ นี้ไว้อย่างแน่นอน เพียงแต่ ยังค้นหาต้นฉบับไม่พบ

ชีพจรลงเท้าสุนทรภู่อีกครั้ง เมื่อท่านเกิดไปสนใจเรื่องเล่นแร่แปรธาตุและยาอายุวัฒนะ ถึงแก่อุตสาหะ ไปค้นหา ทำให้เกิด นิราศวัดเจ้าฟ้า และนิราศสุพรรณ ปี พ.ศ.๒๓๘๓ สุนทรภู่มาจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดาราม ท่านอยู่ที่นี่ได้ ๓ พรรษา คืนหนึ่งเกิดฝันร้าย ว่าชะตาขาด จะถึงแก่ชีวิต จึงได้แต่งเรื่องรำพันพิลาป ซึ่งทำให้ทราบเรื่องราว ในชีวิตของท่านอีก เป็นอันมาก จากนั้นจึงลาสิกขาบทเมื่อปี พ.ศ.๒๓๘๕ เพื่อเตรียมตัวจะตาย

รับราชการครั้งที่ ๒ (พ.ศ.๒๓๘๕ - ๒๓๙๘) อายุ ๕๖ - ๖๙ ปี

เมื่อสึกออกมา สุนทรภู่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งทรง พระยศเป็นสมเด็จพระเจ้า น้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ โปรดอุปถัมภ์ให้สุนทรภู่ ไปอยู่พระราชวังเดิมด้วย ต่อมา กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ทรงพระเมตตา อุปการะสุนทรภู่ด้วย กล่าวกันว่า ชอบพระราชหฤทัย ในเรื่องพระอภัยมณี จึงมีรับสั่งให้สุนทรภู่แต่งต่อ นอกจากนี้ สุนทรภู่ยังแต่งเรื่อง สิงหไตรภพถวายกรมหมื่น อัปสรฯ อีกเรื่องหนึ่ง

แม้สุนทรภู่จะอายุมากแล้ว แต่ท่านก็ยังรักการเดินทางและรักกลอนเป็นที่สุด ท่านได้แต่งนิราศไว้อีก ๒ เรื่องคือนิราศพระประธม และนิราศเมืองเพชร สุนทรภู่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "พระสุนทรโวหาร" ในปี พ.ศ.๒๓๙๔ ขณะที่ท่านมีอายุ ได้ ๖๕ ปีแล้ว ท่านถึงแก่อนิจกรรมเมื่อปี พ.ศ.๒๓๙๘ รวมอายุได้ ๖๙ ปี

ผลงานบางส่วนของสุนทรภู่

นิราศ
๑. นิราศเมืองแกลง แต่งในราว พ.ศ. ๒๓๕๐ ตอนต้นปี
๒. นิราศพระบาท แต่งในราว พ.ศ. ๒๓๕๐ ตอนปลายปี
๓. นิราศภูเขาทอง แต่งในราว พ.ศ. ๒๓๗๑
๔. นิราศเมืองสุพรรณ (โคลง) แต่งในราว พ.ศ. ๒๓๘๔
๕. นิราศวัดเจ้าฟ้า ฯ แต่งในราว พ.ศ. ๒๓๗๕
๖. นิราศอิเหนา
๗. นิราศพระแท่นดงรัง
๘. นิราศพระประธม
๙. นิราศเมืองเพชร แต่งในราว พ.ศ. ๒๓๘๘-๒๓๙๒
นิทาน
๑. เรื่องโคบุตร แต่งในราวรัชกาลที่ ๑
๒. เรื่องพระอภัยมณี แต่งในราวรัชกาลที่ ๒-๓
๓. เรื่องพระไชยสุริยา แต่งในราวรัชกาลที่ ๓
๔. เรื่องลักษณวงศ์ (มีสำนวนผู้อื่นแต่งต่อ และไม่ทราบเวลาแต่ง)
๕. เรื่องสิงหไตรภพ แต่งในราวรัชกาลที่ ๒

สุภาษิต
๑. สวัสดิรักษา แต่งระหว่าง พ.ศ. ๒๓๖๔-๗
๒. เพลงยาวถวายโอวาท แต่งระหว่าง พ.ศ. ๒๓๗๓
๓. สุภาษิตสอนหญิง แต่งระหว่าง พ.ศ. ๒๓๘๐-๒๓๘๓

บทละคร
๑. เรื่องอภัยณุราช

บทเสภา
๑. เรื่องขุนช้างขุนแผนตอนกำเนิดพลายงาม แต่งในรัชกาลที่ ๒
๒. เรื่องพระราชพงศาวดาร แต่งในรัชกาลที่ ๔

บทเห่กล่อม
๑. เห่เรื่องจับระบำ
๒. เห่เรื่องกากี
๓. เห่เรื่องพระอภัยมณี
๔. เห่เรื่องโคบุตร

รวมวรรณกรรม

วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553

มัคคุเทศน้อย/น้องมิ้ง เพชรบูรณ์

ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต


ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต

วันที่ 26 มิถุนายนของทุกปีเป็นวันอะไร ทุกคนคงทราบว่า เป็น"วันสุนทรภู่"กวีเอกของโลกแต่จะมีใครทราบหรือไม่ว่าวันนี้เป็น "วันต่อต้านยาเสพติดโลก" ด้วยเช่นกัน



…เป็นที่ทราบกันดีว่า ผลจากปัญหายาเสพติด ได้ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อมวลมนุษยชาติทั่วโลก ประเทศต่างๆ จึงได้พยายามร่วมมือกันเพื่อหาทางหยุดยั้งปัญหายาเสพติด ดังนั้น ในการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการใช้ยาในทางที่ผิด และการลักลอบใช้ยาเสพติด (International Conference on Drug Abuse and licit Trafficking ICDAIT) ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ระหว่าง วันที่ 17-26 มิถุนายน 2530


ที่ประชุมได้มีมติให้เสนอสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (United Nations General Assembly) ขอให้กำหนดวันที่ 26 มิถุนายนของทุกปีเป็น "วันต่อต้านยาเสพติดโลก" ซึ่งที่ประชุมสมัชชาใหญ่องค์การสหประชาชาติได้มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอดังกล่าวในการประชุมเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2530 โดยเหตุที่กำหนดวันที่นี้เพื่อเป็นที่ระลึกแก่การถอนสัมปทานการค้าฝิ่นโดยนายอำเภอ หลิน เจ๋อสวี ตำบลหู่เหมิน มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน ก่อนสงครามฝิ่นครั้งแรก


วันต่อต้านยาเสพติดในประเทศไทย


ประเทศไทยได้เผชิญกับปัญหา "ยาเสพติด" มาเป็นเวลานาน รัฐบาลในแต่ละยุคได้ดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดมาตลอด จนกระทั่งใน พ.ศ. 2501 คณะปฏิวัติภายใต้การนำของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ออกประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 37 ลงวันที่ 9 ธันวาคม 2501 ให้เลิกการสูบฝิ่นทั่วราชอาณาจักรโดยมีการเผาทำลายฝิ่นและอุปกรณ์การสูบฝิ่นที่ท้องสนามหลวงในคืนวันที่ 30 มิถุนายน 2502 หลังจากนั้นปี พ.ศ. 2504 รัฐบาลได้จัดตั้ง "คณะกรรมการปราบปรามยาเสพติดให้โทษ" ใช้ชื่อย่อว่า กปส. สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีโดยมีอธิบดีกรมตำรวจเป็นประธาน และมีผู้แทนจากทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ


ต่อมาในสมัยนายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรีรัฐบาลได้เล็งเห็นว่า การปราบปรามยาเสพติดไม่สามารถแก้ไขได้โดยการดำเนินการเฉพาะกรมตำรวจฝ่ายเดียว จึงได้เสนอร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. 2519 ต่อสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน และประกาศใช้เป็นกฎหมายเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2519


ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การแก้ไขปัญหายาเสพติดของประเทศไทยก็ได้ดำเนินไปอย่างมีแบบแผนและเป็นระบบที่ดีขึ้น พระราชบัญญัติดังกล่าวได้กำหนดให้มี "คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด" หรือเรียกชื่อย่อว่า ป.ป.ส. โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และจัดตั้งสำนักงาน ป.ป.ส. ขึ้นเป็นหน่วยงานกลางรับผิดชอบโดยตรง มีฐานะเป็นกรม กรมหนึ่งในสำนักนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดทั้งในประเทศและต่างประเทศ


สำนักงานป.ป.ส. ในฐานะหน่วยงานกลางที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในประเทศมาโดยตลอด และได้นำมติเรื่องวันต่อต้านยาเสพติดขององค์การสหประชาชาติเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2531 ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้กำหนดวันที่ 26 มิถุนายนของทุกปี เป็นวันต่อต้านยาเสพติดโดยเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 เป็นต้นมา

วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553

 
Posted by Picasa

เด็กดื่มน้ำอัดลมมีผลอัตรายต่อสุขภาพ/มักคุเทศน้อย มิ้ง


นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า จากการสำรวจสุขภาวะเด็กไทยอายุ 6-15 ปี ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2553 พบว่าเด็กไทยส่วนใหญ่นิยมบริโภคอาหารที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพร่างกาย เช่น พบว่านิยมดื่มน้ำอัดลม น้ำหวานสูงถึงร้อยละ 97.54 ถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก
ในขณะเดียวกันก็นิยมรับประทานขนมกรุบกรอบสูงถึงร้อยละ 97.6 ซึ่งพฤติกรรมการบริโภคลักษณะนี้ที่เป็นสาเหตุสำคัญของโรคอ้วน นำไปสู่การเป็นโรคเรื้อรังต่อไปในอนาคตได้ เช่นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หลอดเลือด คณะรัฐมนตรีจึงมีมติตั้งเป้าไว้ว่าภายในปี 2554 จะต้องทำให้เด็กมีพฤติกรรมการบริโภคหรือมีพฤติกรรมตามแนวสุขบัญญัติ กำหนดไว้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ซึ่งประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น มีหลายประการ อาทิ จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ภูมิต้านทานโรค ช่วยให้เด็กไม่เจ็บป่วยได้ง่าย จะช่วยเพิ่มสมรรถภาพในการเรียน จะช่วยให้เด็กเยาวชนมีสุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจ และช่วยให้เด็กอยู่ร่วมในสังคมได้อย่างมีความสุขทั้งนี้

ทั้งนี้ ในวันที่ 10 มิถุนายน กระทรวงสาธารณสุข จะจัดงานสุขบัญญัติแห่งชาติ ประจำปี 2553 ที่ห้องโถงใต้อาคาร 3 ชั้น 1 สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่เวลา 09.00 – 15.00 น. ภายใต้แนวคิดว่า เด็กยุคใหม่ใส่ใจสุขบัญญัติ
โดยกำหนดยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนไว้ 4 ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย
1. ยุทธศาสตร์ที่เน้นการส่งเสริมและการสร้างองค์ความรู้และการพัฒนาพฤติกรรมด้านสุขภาพ
2. ยุทธศาสตร์ในการสร้างโอกาสและการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ การเข้าถึงในเรื่องการพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ
3. ยุทธศาสตร์การสร้างลักษณะนิสัยให้นำไปสู่แนวปฏิบัติที่ถูกต้องตามสุขบัญญัติ และ
4. ยุทธศาสตร์การพัฒนาและผลักดันนโยบายเพื่อเดินหน้าไปสู่เป้าหมายต่อไป
นายจุรินทร์กล่าว

วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2553

มัคคุเทศน้อย/น้องมิ้ง เพชรบูรณ์



ภูทับเบิก อยู่ที่ตำบลวังบาล จ. เพชรบูรณ์ ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,768 เมตร ซึ่งเป็นจุดสูงสุด
ของจังหวัดเพชรบูรณ์ ภูมิประเทศมีความงดงามเป็นที่กล่าวถึง เป็นความงามของทะเลภูเขาตามธรรมชาติป่าไม้อุดม
้สมบูรณ์ อากาศบริสุทธ์ เย็นสบายตลอดปี ในตอนเช้ามีหมอกและกลุ่มเมฆ มองเห็นเป็นทะเลหมอกตัดกับยอดภู
ูสีเขียว เป็นแหล่งปลูกกะหล่ำปลีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ภูทับเบิก เป็นสถานที่ที่มีความสำคัญมากที่หนึ่ง เพราะเป็นจุดรองรับน้ำฟ้ากลางหาว เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2542
เวลา 15.59 น. ณ สำนักสงฆ์บ้าน ทับเบิก เพื่อนำไปรวมเป็นน้ำเพชรน้อมเกล้าถวายเป็นพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์ใน
พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ ในวันที่ 5 ธันวาคม 2542เป็นสถานที่ที่มีเครื่องวัดอุณหภูมิที่ใหญ่
่ที่สุดในประเทศไทย และยังเป็นเส้นทางเชื่อมโยงสู่แหล่งท่องเที่ยวและ ประวัติศาสตร์ที่สำคัญ คือ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า
ชาวบ้านที่ ภูทับเบิก เป็นชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง หรือแม้ว ที่ย้ายถิ่นฐานมาจากทางภาคเหนือ และได้ใช้พื้นที่
ปลูกฝิ่นสำหรับจำหน่าย ในปี พ.ศ. 2510 ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ได้ชักชวนให้ชาวเขาเหล่านี้เข้าร่วมต่อต้านรัฐบาล
แต่เมื่อมีการเข้าปราบปรามและชาวบ้านได้เข้ามอบตัว จึงได้มีการจัดตั้งศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา จังหวัด
เพชรบูรณ์ขึ้นในปี พ.ศ. 2525 โดยชาวบ้านได้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีการทำแปลงเกษตรแบบขั้นบันได
วิถีชีวิตของชางม้งที่นี่ ยังคงมีการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ในทุกๆ ปี จะจัดงานปีใหม่แบบดั้งเดิม และมีการแสดง
วัฒนธรรมด้วย
ที่ยอดภูทับเบิกจะมีไร่กระหล่ำปลีเต็มไปหมดทุกภูเขา เราสามารถ เดินไปดูเก็บกระหล่ำปลี ซึ่งก็เป็น
ชาวเขาม้งจะขอซื้อมาทานก็ได้ ราคาแสนถูก และสดเหนือคำบรรยายครับ และอย่าลืมขับรถไปเที่ยวในเส้นทาง
ไปหมูบ้าน ที่อยู่ห่างจากยอดทับเบิก 5 กิโลเมตร เส้นทางสายนี้นับว่า วิวสวยมาก มองไปทางซ้ายก็กระหล่ำปลี ขวากระหล่ำปลี เป็นภูเขากระหล่ำปลี เหนือยอดกระหล่ำปีเป็นปุยหมอกจางๆ สวยมาก
จากสภาพดังกล่าว จึงทำให้ภูทับเบิกเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และดึงดูดใจนักท่องเที่ยวที่นิยมสัมผัส
แก่นแท้วิถีชีวิต วัฒนธรรมชุมชน และแหล่งธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่กำลังมี
กระแสความนิยมอยู่ทั่วไป ภายใต้คำกล่าวที่ว่า "นอนทับเบิก สัมผัสความหนาว ดูดาวบนดิน"

***สำคัญมากหากใครต้องการไปดูกะหล่ำยักษ์ที่ภูทับเบิก ชาวบ้านจะปลูกกันช่วงนี้ค่ะ***
ช่วงเดือน ก.ค.-ต.ค. ซึ่งเป็นช่วงหน้าฝนก็จะได้บรรยากาศแบบอลังการด้วยทะเลหมอกจากไอฝน
ช่วงเดือน พ.ย.ในหน้าหนาวซึ่งจะเป็นช่วงที่สวยงามที่สุด

วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หนูมิ้งมักกุเทศน้อนนำเที่ยวเพชรบูรณ์ นำเสนออาหารประจำจังหวัดเพชรบูรณ์


มะขามหวาน
มะขามหวานเป็นพืชเศรษฐกิจ อย่างหนึ่งของจังหวัด มีรสหวานขึ้นชื่อจน เป็นที่รู้จักกันทั่วไป มะขามหวานที่ปลูกใน จังหวัดเพชรบูรณ์ มีหลายพันธุ์ เช่น หมื่นจง นายหยัด หรือสีทอง ศรีชมภู ขันตี ปากดุก เจ้าเนื้อเศรษฐกิจ ฝักดาบ ฯลฯ สามารถ หาซื้อได้ราว เดือนกุมภาพันธ์ และในราวปลายเดือนมกราคมของทุกปีจะ มีงานเทศกาล มะขามหวานร่วมกับงานกาชาด โดยมีการประกวดมะขาม ธิดา มะขาม และการละเล่นต่างๆ
นอกจากมะขามหวานแล้ว ก็ยังมีผลหรือน้ำกระทกรก (น้ำเสาวรสหรือแพชั่น ฟรุท) พืชผักเมืองหนาว และที่อำเภอหล่มสักยังมีสะเดาหวานซึ่งมีรสชาติ แปลกกว่า สะเดาในภาคอื่นๆ ของไทย สะเดาหวานจะเริ่มมีจำหน่ายก่อนหน้า มะขามหวานประมาณ 1 เดือน
ไก่ย่างวิเชียรบุรี
เป็นอาหารที่ขึ้นชื่ออย่างหนึ่งของจังหวัดเพชรบูรณ์ มีลักษณะพิเศษ คือ เนื้อ ไก่จะย่างจนสุกแห้งสม่ำเสมอ หนังเหลืองกรอบ น่ารับประทาน มีจำหน่ายที่ บริเวณสามแยกวิเชียรบุรี อำเภอวิเชียรบุรี
ขนมจีนหล่มเก่า
มีลักษณะแปลกกว่าขนมจีนที่อื่น คือ การทำเส้นขนมจีน จะทำขึ้นใหม่ในขณะ นั้นเลย และจัดแบ่งให้พอดีคำ พร้อมน้ำยาขนมจีนอยู่ 4 ชนิด คือ น้ำยา น้ำพริก น้ำยาป่า และน้ำปลาร้า จัดใส่ภาชนะหม้อดิน พร้อมเครื่องประกอบขนมจีน ประเภทผักสด ผักต้ม และผักดอง
ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากพืชเมืองหนาว
นักท่องเที่ยวสามารถหาซื้อได้ที ่ไร่ บี. เอ็น. โดยทางไร่ ได้จัดทำ เป็นผลิต ภัณฑ์แปรรูปเพื่อสุขภาพ ปราศจากสาร กันบูด ใช้เป็น อาหารเจได้ เช่น เห็ดหอม ดองสี่รส น้ำพริกเผา เห็ดหอม หัวผักกาดดอง สามรส กานาฉ่าย ฯลฯ

วันอังคารที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ภูหินร่องกล้า



มีเส้นทางขึ้นทั้งทางพิษณุโลก และเพชรบูรณ์ ข้างบนมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย เช่น ลานหินแตก ลานหินปุ่ม และน้ำตกต่าง ๆ

หมู่บ้านทับเบิก


เส้นทางขึ้นภูหินร่องกล้า ทับเบิก อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์เป็นหมู่บ้านม้ง ที่น่าไปเที่ยวชมและเส้น ทางขึ้นภูหินร่องกล้านี้พาดผ่าน ขุนเขาหลายลูก มีทิวทัศน์งดงาม

น้ำตกศรีดิษฐ์


บนเขาค้อ มีต้นกำเนิดมาจากขุนเขาสลับซับซ้อนไหลลงน้ำตก ศรีดิษฐ์ ซึ่งเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ หลังจากนี้สายน้ำจะไหลผ่านเข้าไปยังอุทยานแห่งชาติ ทุ่งแสลงหลวง ไปพิษณุโลกเป็นน้ำตกแก่งโสภา น้ำตกปอย น้ำตกแก่งซอง ฯลฯ

เมืองเก่าศรีเทพ


เมืองเก่าแก่สร้างขึ้นสมัยขอมเรือง อำนาจ มีอายุกว่าพันปี โดยดูจากหลักฐานทางสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม และวัฒนธรรมที่ตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

เขาค้ออนุสรณ์ เพชรบูรณ์ /หนูมิ้ง ข่าวท่องเที่ยว


เมื่อมาเที่ยวเขาค้อ นอกจากจะได้ชื่นชมทิวทัศน์ สัมผัสอากาศบริสุทธิ์เหมือนได้ไปสวิตเซอร์แลนด์แล้ว ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์อีกด้วย

อนุสรณ์สถานผู้เสียสละเขาค้อ ตั้งอยู่บนยอดเขาค้อ สร้างขึ้นเพื่อ เทิดทูนวีรกรรมของพลเรือน ตำหรวจ ทหาร ที่ได้พลีชีพในการ สู้รบ เพื่อปกป้องพื้นที่ในเขตรอยต่อ 3 จังหวัด คือ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ เลย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2511-2525 การก่อสร้างเป็นรูปสามเหลี่ยม ใช้หินอ่อนทั้งหมด ผู้ออกแบบคือ ศ.ดร.กฤษฎา อรุณวงษ์ ณ อยุธยา ขนาดและรูปร่างของอนุสรณ์สถาน นี้ มีความหมายแตกต่างกัน คือ รูปสามเหลี่ยมหมายถึง การปฏิบัตรการ ร่วมกันระหว่างพลเรือน ตำหรวจ ทหาร

วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2553

คำดีๆ จากลูก /หนูมิ้ง ข่าวผู้เยาว์


บุตร

บุตรคือใคร?

ความหมายของบุตร

บุตรคือ

ผู้ยกพ่อแม่ออกจากขุมนรกชื่อ “ปุตตะ” นรกคือความร้อนใจที่ไม่มีลูก
ผู้ที่สืบทอดสายโลหิตจากพ่อแม่
ผู้รับมรดกจากพ่อแม่
ผู้ที่ปิดตาให้พ่อเวลาตายและทำบุญอุทิศให้
ผู้เป็นที่พึ่งพาของพ่อแม่
ผู้เป็นลูกหนี้ของพ่อแม่ที่จะต้องใช้หนี้ให้คุ้มค่ากัน
ผู้นำพ่อแม่ให้ถึงนิพพาน

บุตรที่ดี คือ ผู้ที่สามารถทำให้พ่อแม่ได้รับความอิ่มใจ ชื่นใจ สบายใจตลอดกาล

“บุตร” กับ “ลูก”

“บุตร” จะใช้สำหรับ “มนุษย์ “ เท่านั้น

“ลูก” ส่วนมากจะใช้สำหรับลูกคน, ลูกสัตว์เดรัจฉาน, ลูกผลไม้ ตัวอย่างเช่น ลูกคน, ลูกแมว ลูกหมา, ลูกวัว, ลูกมะพร้าว, ลูกมะละกอ, ลูกระเบิด ฯลฯ เราคงไม่เคยมีใครอุตริไปใช้ว่า บุตรแมว บุตรหมา, บุตรวัว, บุตรมะพร้าว, บุตรมะละกอ บุตรระเบิด, เป็นแน่ ถ้าลูกคนเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่เราก็เรียกว่า “บุตร”

ประเภทของบุตรและลูก

ลูก มีผู้แยกประเภทไว้ 5 จำพวกคือ

1. “ลาก” คือลูกที่ไม่ดี ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพ่อแม่ ท่านสั่งให้อยู่กลับไป ท่านสั่งให้ไปกลับอยู่ บางคนทำชั่วติดคุกติดตะรางพลอยลากพ่อแม่ติดคุกทางใจด้วย

“แลก” คือ ลูกที่บังคับพ่อแม่ เมื่อต้องการสิ่งใดก็จะเอาให้ได้ดังใจไม่คำนึงถึงหัวอกของพ่อแม่ว่าฐานะเป็นอย่างไร พ่อแม่บางคนต้องขายไร่ขายนาเพื่อสนองความต้องการของลูก
“ลอก” คือลูกที่ปอกลอก ขโมยเงินพ่อแม่ไปเล่นการพนัน ติดสิ่งเสพติดผลาญเงินพ่อแม่
“เลิก” คือการเพิกถอนไม่เอาเป็นธุระ ประกาศตัดขาดความเป็นพ่อแม่ลูก
“ลูก” คือลูกที่ดี ทำตัวเหมาะสม เชื่อฟังพ่อแม่ว่านอนสอนง่าย ประเภทนี้เรียกว่า “บุตรที่ประเสริฐ”
ลูก ยังแบ่งได้อีก 3 ประเภทคือ

1. “อันเตวาสี” คือ ลูกศิษย์

2. “ทินนกะ” คือ ลูกเลี้ยง

3. “อัตรชะ” คือ ลูกในไส้


บุตร” มี 3 ประเภทคือ

1. อวชาตบุตร คือ บุตรที่มีคุณธรรมต่ำกว่าพ่อแม่

2. อนุชาตบุตร คือ บุตรที่มีคุณธรรมเสมอพ่อแม่

3. อภิชาตบุตร คือ บุตรที่มีคุณธรรมสูงกว่าพ่อแม่



“โย จ ปุตฺตานมสฺสโว ในบรรดาบุตรทั้งหลาย บุตรที่เชื่อฟังเป็นบุตรที่ประเสริฐสุด”

2.บุตรเกิดจากอะไร?

2.1 ทางร่างกาย เกิดจากความรักของพ่อแม่

2.2 ทางจิตใจ เกิดจากความสำนึกในพระคุณของพ่อแม่ที่มีต่อตน แล้วกระทำต่อท่านให้เกิดความสบายใจอิ่มใจชื่นใจ


3.เป็นบุตรเพื่ออะไร?

เพื่อ เดินทางไปสู่นิพพาน หรือเข้าถึงพระเจ้าอันเป็นเป้าหมายสูงสุดของศาสนา ซึ่งเป็นชีวิตที่สงบเย็นหมดปัญหา ตามที่พ่อแม่เดินทางไปถึงหรือกำลังเดินทางอยู่


4.จะเป็นบุตรได้อย่างไร?

4.1 โดย การทำหน้าที่ของบุตรที่ดีดังนี้

พ่อแม่เลี้ยงเรามาแล้วก็เลี้ยงท่านตอบ บำรุงพ่อแม่ด้วยปัจจัยสี่
ช่วยทำกิจกรรมการงานของพ่อแม่
ดำรงวงศ์ตระกูลของพ่อแม่
ประพฤติตนให้เป็นคนสมควรรับทรัพย์มรดกของพ่อแม่
เชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่เป็นคนว่าง่ายสอนง่าย
ยกย่องสรรเสริญคุณงามความดีของพ่อแม่
ส่งเสริมให้พ่อแม่มีคุณธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปเช่น
เมื่อท่านไม่มีศรัทธา ชักนำให้มีศรัทธา

เมื่อท่านไม่มีจิตใจในการให้ทานชักนำให้ท่านให้ทาน

เมื่อท่านไม่มีศีลชักนำให้ท่านรักษาศีล

เมื่อท่านไม่มีปัญญา ชักนำให้ท่านเกิดปัญญาด้วยการเจริญภาวนา

เมื่อท่านล่วงลับไปแล้วหมั่นทำบุญอุทิศให้
สรุปหน้าที่ของบุตรที่ดี ที่จะต้องตอบแทนคุณพ่อแม่ โดยย่อ 4 ประการ คือ

เลี้ยงดูทางกาย
เลี้ยงดูทางจิตใจ
ทำให้พ่อแม่รู้ธรรมะ
ทำตัวเองให้เป็นอนุสาวรีย์ที่ดีที่สุดของพ่อแม่
ผลดี ของการทำหน้าที่บุตรที่ดี

ทำให้พ่อแม่สบายใจ สุขใจ
ได้รับการยกย่องสรรเสริญจากบัณฑิต
เป็นที่รักของคนทั่วไป
ใคร ๆ อยากคบหาสมาคม
เป็นผู้มีความเจริญสุขในชีวิต
โทษ ที่ไม่สามารถเป็นบุตรที่ดีได้

ทำให้พ่อแม่เดือดร้อนใจ
ถูกติเตียนจากบัณฑิต
เป็นที่เกลียดชังของคนทั่วไป
ใคร ๆ ไม่อยากคบหาสมาคมด้วย
เป็นผู้ไม่มีความเจริญสุขในชีวิต

คุณของพ่อแม่ ยากแก่การทดแทน

บุคคลใดให้มารดานั่งบนบ่าข้างหนึ่ง ให้บิดานั่งบนบ่าข้างหนึ่งและบุคคลนั้นเป็นผู้มีอายุ 100 ปี มีชีวิตอยู่ 100 ปีได้ทำการขัดสี การขยำ การให้อาบน้ำ การบีบนวด ให้แก่มารดาบิดาทั้งสองมารดาบิดาได้ถ่ายอุจจาระปัสสาวะอยู่บนบ่าทั้งสองนั้นถึงอย่างนั้นก็ดี ก็ยังไม่เชื่อว่า ได้ตอบแทนคุณมารดาบิดาได้สิ้นสุด.............

ถึงบุตรจะให้มารดาบิดาตั้งอยู่ในความเป็นพระราชา เป็นอิสราธิบดีผู้เป็นใหญ่ยิ่งในแผ่นดินใหญ่อันนี้ อันบริบูรณ์ด้วยแก้วเจ็ดประการนั้นก็ดียังไม่เชื่อว่า ตอบแทนคุณมารดาบิดาได้สิ้นสุด..........................

ข้อนี้เพราะเหตุใด.............

เพราะมารดาบิดาเป็นผู้มีคุณมาก คือ เป็นผู้ทำบุตรให้เติบโต เป็นผู้เลี้ยงดูบุตร เป็นผู้ทำให้บุตรได้เห็นโลกนี้..................

ส่วนผู้ใดได้ทำให้มารดาบิดา ผู้ไม่มีศรัทธา ให้มีศรัทธา ทำมารดาบิดา
ผู้ไม่มีศีล ให้เป็นผู้มีศีลทำมารดาบิดา ผู้มีความตระหนี่ ให้เต็มไปด้วยการสละแบ่งปัน

ผู้นั้นได้ชื่อว่าตอบแทนคุณมารดาบิดาได้สิ้นสุดยิ่งกว่าคุณมารดาบิดาทำให้แก่ตน

“ลูกคนไหนทำชั่วเหมือนกรีดเอาเลือดพ่อแม่ไปประจาน

ลูกคนไหนทำดีเหมือนเอาชื่อเสียงพ่อแม่ไปเปิดเผยบูชา”

“พ่อแม่มีลูกดีเหมือนเทวดาจากสวรรค์มาเกิด

พ่อแม่มีลูกไม่ดีเหมือนสัตว์นรกมาเกิดดุด่าพ่อแม่”

“โลกนี้ไม่มีใครรักเราเท่าพ่อแม่ คนอื่นรักเรามักหวังผลจากเรา”

“โลกจะดี เพราะมีเด็กดี เด็กจะดีเพราะมีพ่อแม่ดี พ่อแม่ไม่ดีสร้างลูกเป็นอันธพาล

พ่อแม่คือผู้สร้างโลกคือลูก”

วันงดสูบบูหรี่โลก/มิ้ง ข่าวผู้เยาว์


มะเร็งหรือเนื้อร้าย CANCER


ลักษณะทั่วไป
มะเร็งหรือเนื้อร้าย คือ เนื้องอกชนิดร้ายที่กลายมาจากเนื้อเยื่อปกติของร่างกาย มีการเจริญ
เติบโตและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว อยู่นอกเหนือการควบคุมของร่างกาย และมีโทษต่อ
ร่างกาย ในปัจจุบันมะเร็งเป็นสาเหตุการตายในอันดับแรก ๆ ของคนไทย ที่พบบ่อยในบ้านเรา
ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งผิวหนัง มะเร็งในช่องปาก
พบมากในคนอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป แต่ก็อาจพบในเด็ก และคนหนุ่มสาวได้

สาเหตุ
ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่ามีปัจจัยหลายๆ อย่างร่วมกัน ซึ่งพอจะแบ่งเป็น 2 พวกใหญ่ ๆ
1. ปัจจัยภายในร่างกาย เช่น
- ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
- เชื้อชาติ ชาวญี่ปุ่นเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารมาก ชาวจีนเป็นมะเร็งของโพรงหลังจมูก และ
หลอดอาหารมาก
- เพศ มะเร็งตับ มะเร็งปอด พบมากในผู้ชาย มะเร็งของเต้านม มะเร็งผิวหนัง พบมากในผู้หญิง
- อายุ มะเร็งของลูกตา (Retinoblastoma) มะเร็งของไต พบมากในเด็ก
- กรรมพันธุ์ มะเร็งเต้านมบางชนิด มะเร็งของต่อมไทรอยด์บางชนิด มะเร็งกระเพาะอาหาร
มะเร็งตับอ่อน มะเร็งลำไส้ใหญ่ พบว่า มีความสัมพันธ์กับกรรมพันธุ์ เป็นต้น
2. ปัจจัยภายนอกร่างกาย ได้แก่
2.1 สารกายภาพต่างๆ ได้แก่ การระคายเคืองเรื้อรัง เช่น
- ฟันปลอมที่ไม่กระชับ เวลาเคี้ยวอาหารจะมีการเสียดสีกับเหงือกหรือเพดานปาก อาจทำให้
เกิดมะเร็งของเหงือก หรือเพดานปากได้
- การกินอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มร้อนจัดเป็นประจำ อาจจะมีการระคายบริเวณหลอดอาหาร
อาจทำให้เป็นมะเร็งของหลอดอาหารได้
- รังสีต่างๆ ถ้าร่างกายได้รับเป็นระยะนาน ๆ ก็อาจเกิดมะเร็งอวัยวะต่าง ๆ ได้
- แสงอัลตราไวโอเลต อาจทำให้เป็นมะเร็งของผิวหนัง และริมฝีปาก ถ้าถูกแดดจัด ๆ เป็นระยะ
นาน ๆ

2.2 สารเคมี ในปัจจุบันพบสารก่อมะเร็ง (carcinogen) มากกว่า 450 ชนิด อยู่ในรูปของอาหาร
พืช และสารเคมีต่าง ๆ เช่น
- สารหนู อาจทำให้เป็นมะเร็งของผิวหนัง
- บุหรี่ มีสารเบ็นซ์ไพรีน (benzpyrine) ที่เรียกว่า "ทาร์" หรือ "น้ำมันดิน" และสารเคมีพวก
อะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (aromatic hydrocarbon) ทำให้เกิดมะเร็งปอด ช่องปาก ลำคอ
กล่องเสียง หลอดอาหาร ตับอ่อน ปากมดลูก กระเพาะปัสสาวะได้
- แอลกอฮอล์ ทำให้เกิดมะเร็งช่องปาก ลำคอ กล่องเสียง ตับ หลอดอาหาร ลำไส้ใหญ่ เต้านม
- เบนซีน ทำให้เกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาว
- การเคี้ยวหมากหรือการจุกยาฉุน นอกจากจะมีการระคายเรื้อรังแล้ว ยังมีสารเคมีที่ทำให้เป็น
มะเร็งของช่องปากได้
- สารไนโตรซามีน (nitrosamine) ในอาหาร ทำให้เกิดมะเร็งของตับ กระเพาะอาหาร ลำไส้ใหญ่
- ดีดีที เมื่อเข้าในร่างกาย อาจเปลี่ยนเป็นสารไดไนโตรซามีน ซึ่งมีฤทธิ์เหมือนไนโตรซามีน

2.3 ฮอร์โมน ฮอร์โมนเอสโตรเจน มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งช่องคลอด และโพรงมดลูก
ฮอร์โมนแอนโดรเจน มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก
2.4 การติดเชื้อ เช่น
- การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี และซี มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งตับ
- การติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV/Human papilloma virus) มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็ง
ปากมดลูก มะเร็งกล่องเสียง หรือทอนซิล
- การติดเชื้อไวรัสเอชทีแอลวี-1 (HTLV-1/Human T-cell leukemia virus)
มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาว และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
- การติดเชื้อไวรัสอีบีวี (EBV/Epstein-Bar virus) สัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ชนิด
เบอร์กิต (Burkitt's lymphoma) และมะเร็งโพรงหลังจมูก
- การติดเชื้อเอชไอวี (เอดส์) มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลือง, มะเร็งของหลอด
เลือดที่เรียกว่า Kaposi sarcoma
- การติดเชื้อ เอชไพโลไร (H. pylori/Helicobacter pylori) มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็ง
กระเพาะอาหาร
2.5 สารพิษ เช่น อะฟลาท็อกซิน (Aflatoxin) จากเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหาร ทำให้เกิดมะเร็ง
ของตับ
2.6 พยาธิ เช่น พยาธิใบไม้ตับ ทำให้เกิดมะเร็งของตับ
2.7 อาหาร
- ภาวะขาดอาหาร เช่น โรคตับแข็ง ซึ่งเกิดจากการขาดสารโปรตีน จะกลายเป็นมะเร็งตับได้ง่าย
- การบริโภคอาหารพวกไขมันมาก อาจสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งเต้านม ลำไส้ใหญ่ รังไข่ ต่อม
ลูกหมาก มดลูก และตับอ่อน
- การบริโภคผักและผลไม้ วันละ 400-800 กรัม ช่วยลดการเกิดมะเร็งช่องปาก ลำคอ หลอด
อาหารกระเพาะอาหาร ลำไส้ใหญ่ ตับอ่อน เต้านม และกระเพาะปัสสาวะ

อาการ
ในระยะแรกมักจะไม่ปรากฏอาการ ต่อมาเมื่อเป็นมากขึ้น (อาจนานเป็นเดือน เป็นปี) จะมี
อาการทั่วไป (พบร่วมกันในมะเร็งทุกชนิด) คือ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว
อาจมีไข้ เรื้อรัง ท้องอืดเฟ้อ คลื่นไส้อาเจียน ซีด เป็นลม ใจหวิว คล้ายหิวข้าวบ่อย
ส่วนอาการเฉพาะของแต่ละโรค (ซึ่งมักเกิดขึ้นก่อนจะมีอาการทั่วไป) เกิดจากก้อนมะเร็งไป
กดเบียดหรือทำลายอวัยวะที่เป็น พอจะสรุปได้ดังนี้
1. มะเร็งผิวหนัง ส่วนมากจะเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงของไฝ ปาน หรือ จุดตกกระในคนแก่
โดยมีอาการคันแตกเป็นแผล เรื้อรังไม่ยอมหาย โดยไม่มีอาการเจ็บปวด ต่อมาแผลโตขึ้นเร็ว
และมีเลือดออก มีสาเหตุสัมพันธ์กับการถูกแสงแดด (แสงอัลตราไวโอเลต) การกินยาที่เข้า
สารหนู หรือน้ำมันดินที่มีผสมอยู่ในยาจีนยาไทย การสัมผัสถูกสารหนู หรือน้ำมันดิน การระคาย
เรื้อรังต่อไฝ ปานหรือหูดที่มีอยู่ก่อน
2. มะเร็งในช่องปาก จะมีก้อนหรือแผลเรื้อรังเกิดขึ้นที่ริมฝีปาก เยื่อบุช่องปาก ลิ้น โดยเริ่มจาก
ฝ้าขาวๆที่เรียกว่า ลิวโคพลาเคีย (Leukoplakia) มีสาเหตุสัมพันธ์กับการระคายเรื้อรัง เช่น กิน
หมาก จุกยาฉุน ฟันเกหรือใส่ฟันปลอมไม่กระชับ ดื่มเหล้าเข้มข้น (ไม่ผสมเจือจาง) สูบบุหรี่
3. มะเร็งที่จมูกและโพรงหลังจมูก มีอาการเลือดออกทางจมูก หน้าชา คัดจมูก ปวดศีรษะ
ต่อมาอาจมีเลือดปนน้ำเหลืองออกทางจมูก หูอื้อ กลืนไม่ได้ ตาเข ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต มะเร็ง
ที่โพรงหลังจมูก มีสาเหตุสัมพันธ์กับการดื่มเหล้าเข้มข้น สูบบุหรี่ การติดเชื้อไวรัสอีบีวี (EBV)
4. มะเร็งที่กล่องเสียง มีอาการเสียงแหบเรื้อรังและอาจมีอาการเจ็บคอ เวลากลืนเหมือนมีก้าง
ติดคอต่อมามีเลือดออกปนกับเสมหะ มีสาเหตุสัมพันธ์กับการดื่มเหล้าเข้มข้น การสูบบุหรี่จัด
การติดเชื้อไวรัสเอชพีวี
5. มะเร็งปอด มีอาการไอเรื้อรัง น้ำหนักลด ไอออกเป็นเลือดปนเสมหะ มีสาเหตุสัมพันธ์กับการ
สูบบุหรี่ การสูดควันดำจากท่อไอเสียรถ เขม่าจากโรงงาน สารใยหิน (asbestos) หรือฝุ่นนิกเกิล
6. มะเร็งหลอดอาหาร เริ่มแรกอาจรู้สึกเจ็บเวลากลืนอาหาร ต่อมากลืนข้าวสวยไม่ได้ ต่อมากลืน
ข้าวต้มไม่ได้ จนในที่สุดกลืนได้แต่ของน้ำ ๆ หรือ กลืนอะไรก็ไม่ลงเลย พบมากในผู้ชาย มีสาเหตุ
สัมพันธ์กับการกินอาหาร และดื่มของร้อน ๆ (เช่น น้ำชาร้อน ๆ), การดื่มเหล้าเข้มข้น, การสูบ
บุหรี่,ภาวะขาดวิตามินเอ เป็นต้น
7. มะเร็งกระเพาะอาหาร มีอาการท้องอืด แน่นท้องอยู่เรื่อย เบื่ออาหาร ต่อมาอาจมีอาเจียน
คลำก้อนได้ที่ใต้ชายโครงซ้าย น้ำหนักลด ซีด อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำ มีสาเหตุสัมพันธ์กับ
การเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ จากเชื้อเอชไพโลไร (H. pylori) แบบเรื้อรัง, การกินอาหาร
ที่มีสารไนเทรตหรือไนโตรซามีน, อาหารเค็มหรืออาหารหมักเกลือ, อาหารประเภทรมควัน,
กรรมพันธุ์, การมีประวัติการผ่าตัดกระเพาะอาหาร เป็นต้น
8. มะเร็งตับอ่อน เริ่มแรกอาจมีอาการท้องอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ต่อมามีอาการปวดท้อง และ
ปวดหลังดีซ่าน ถ่ายอุจจาระสีซีดขาว เบื่ออาหาร น้ำหนักลด มีสาเหตุสัมพันธ์กับการสูบบุหรี่
สารไนโตรซามีนสารไฮโดรคาร์บอน การกินอาหารพวกไขมันและโปรตีนสูง และอาจมีสัมพันธ์
กับกรรมพันธุ์
9. มะเร็งลำไส้เล็ก มักมีอาการปวดท้อง ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด หรือถ่ายดำ น้ำหนักลด เป็นไข้
หรือมีภาวะลำไส้อุดตัน (ปวดท้องรุนแรง อาเจียน) บางรายอาจมีอาการดีซ่าน ถ่ายอุจจาระสีซีด
ขาว อาจคลำได้ก้อนในช่องท้อง อาจมีสาเหตุสัมพันธ์กับการเป็นลำไส้เล็กอักเสบเรื้อรัง
10. มะเร็งลำไส้ใหญ่ มีอาการท้องผูกสลับกับท้องเดินแบบเรื้อรัง หรือถ่ายเป็นเลือด หรือมูกปน
เลือดเรื้อรัง ปวดท้อง ปวดหลัง ซีด น้ำหนักลด มีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคนี้ เช่น ภาวะโคเลส
เตอรอลในเลือดสูง, การกินอาหารที่มีกากใยน้อย แต่กินพวกไขมันมาก, ประวัติการเป็นมะเร็ง
ในญาติพี่น้อง เป็นต้น
11. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง จะมีต่อมน้ำเหลืองโตเป็นก้อนที่บริเวณคอ รักแร้ และขาหนีบ อาจมี
ไข้เรื้อรัง มีสาเหตุสัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัส เอชทีแอลวี-1, เชื้ออีบีวี, เอดส์, การได้รับยาเคมี
บำบัด หรือรังสีบำบัดมาก่อน เป็นต้น
12. มะเร็งเต้านม คลำได้ก้อนที่เต้านม หัวนมบุ๋ม (เดิมเป็นปกติ เพิ่งมาบุ๋มตอนหลัง) หรือมีน้ำ
เหลืองหรือเลือดออกทางหัวนม ต่อมาจะมีต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ข้างเดียวกันโต ผู้หญิงที่เสี่ยง
ต่อการเป็นโรคนี้ เช่น ผู้หญิงที่มีมารดาเป็นมะเร็งเต้านม ก่อนวัยหมดประจำเดือน หรือมีญาติ
พี่น้องเป็นโรคนี้หลังวัยประจำเดือน, ผู้หญิงเกิน 50 ปี ที่ยังไม่มีบุตร, ผู้หญิงที่มีบุตรคนแรก
เมื่ออายุเกิน 30 ปี, ผู้หญิงที่มีประวัติเป็นโรคเต้านมเรื้อรัง, คนอ้วน, ผู้ที่สัมผัสถูกรังสี หรือดื่ม
เหล้า
13. มะเร็งปากมดลูก มีเลือดออกเวลาร่วมเพศ มีเลือดออกกะปริดกะปรอยทางช่องคลอด หรือมี
ตกขาวเรื้อรัง มีสาเหตุสัมพันธ์กับการติดเชื้อเอชพีวี (HPV/Human papilloma virus) ของปาก
มดลูกซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ร่วมกับปัจจัยเสริมอื่น ๆ เช่น การกินยาเม็ดคุมกำเนิด
การสูบบุหรี่เป็นต้น โรคนี้พบมากในผู้หญิงที่เริ่มมีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุน้อย มีสามีหลายคน หรือ
มีสามีสำส่อนทางเพศ และในหญิงบริการ
14. มะเร็งอัณฑะ พบมีก้อนแข็งที่ถุงอัณฑะ และโตขึ้นเรื่อย ๆ บางครั้งอาจมีอาการปวดร่วม
ด้วย สาเหตุ ยังไม่ทราบ พบว่า ผู้ที่มีอัณฑะไม่เลื่อนลงถุงอัณฑะ ซึ่งเป็นมาแต่กำเนิด อาจค้าง
อยู่ในช่องท้อง หรือขาหนีบ มีโอกาสเป็นมะเร็งอัณฑะมากขึ้น
15. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มีอาการปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะขัดและบ่อย มีสาเหตุสัมพันธ์
กับการสูบบุหรี่ การสัมผัสถูกสารอะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน (aromatic hydrocarbon) ที่เป็น
สารประกอบของสีที่ใช้ทางอุตสาหกรรม, การกินอาหารพวกเนื้อปิ้ง ย่าง และไขมันมาก
16. มะเร็งต่อมลูกหมาก มักไม่มีอาการแสดง จนกระทั่งแพร่กระจายไปยังอวัยวะข้างเคียง ทำ
ให้มีอาการขัดเบา ปัสสาวะลำบาก หรือ ปัสสาวะไม่ออก ปัสสาวะเป็นเลือด ปวดหลังหรือปวด
สะโพกน้ำหนักลด มักพบในคนอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป มีสาเหตุสัมพันธ์กับฮอร์โมนแอนโดรเจน
และพบว่าผู้ที่มีประวัติญาติพี่น้องเป็นโรคนี้ หรือเคยทำหมันชาย มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้
สูงขึ้น
17. มะเร็งกระดูก มีอาการข้อบวม กระดูกบวม บางครั้งพบหลังเกิดอุบัติเหตุ ทำให้เข้าใจว่า
เป็นกระดูกหักได้
18. มะเร็งของลูกตาในเด็ก (Retemoblastoma) นัยน์ตาดำของเด็กมีสีขาววาวคล้ายตาแมว
เด็กจะบ่นว่าตาข้างนั้นมัว หรือมองอะไรไม่เห็น เมื่อเป็นมากขึ้น ตาจะเริ่มปูดโปนออกมานอก
เบ้าตา
19. มะเร็งรังไข่หรือไต มีอาการมีก้อนในท้อง ท้องมาน ส่วนมะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งตับ
มะเร็งในสมอง จะมีอาการแบบเดียวกับเนื้องอกในสมอง มะเร็งต่อมไทรอยด์

การรักษา
หากสงสัย โดยเฉพาะคนที่มีอาการไข้เรื้อรังเป็นแรมเดือน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลดโดย
ไม่พบอาการที่ชัดเจนอื่นๆ หรือมีอาการเข้าได้กับสัญญาณอันตรายประการใดประการหนึ่ง* ควร
ส่งไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาล เพื่อทำการตรวจพิเศษ เช่น ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ตรวจอุจจาระ
เอกซเรย์ทำสะแกน (scan) ตัดชิ้นเนื้อพิสูจน์ (biopsy) และให้การรักษาด้วยการผ่าตัด, ฉายรังสี
(รังสีบำบัด),หรือให้ยารักษามะเร็ง (เคมีบำบัด) หรือปลูกถ่ายอวัยวะ (เช่น ไขกระดูก)
ผลการรักษา ขึ้นกับชนิดของมะเร็ง ระยะความรุนแรงของโรค และสภาพของผู้ป่วย (ความร่วม
มือในการรักษา, การปฏิบัติตน, ความแข็งแรงขะงระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย, กำลังใจ เป็นต้น)
มะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเต้านม, มะเร็งปากมดลูก, มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ, มะเร็งต่อมน้ำ
เหลืองบางชนิด, มะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิด, มะเร็งในช่องปาก, มะเร็งลำไส้ใหญ่, มะเร็งโพรง
หลังจมูก,มะเร็งต่อมไทรอยด์ เป็นต้น ถ้าหากได้รับการรักษาตั้งแต่แรก อาจมีชีวิตอยู่ได้นาน หรือ
อาจหายขาดได้ส่วนมะเร็งตับหรือปอดมักอยู่ได้ไม่นาน เฉลี่ยประมาณ 6-12 เดือน


*สัญญาณอันตราย 7 ประการ
อาการของมะเร็งในระยะเริ่มแรก อาจสรุปได้ 7 ประการได้แก่
1.การเป็นแผลที่ไม่รู้จักหาย (ปกติควรจะหายภายใน 2 สัปดาห์)
2.การมีตุ่ม ไต ก้อนแข็ง เกิดขึ้นในที่ซึ่งปกติไม่ควรมี โดยเฉพาะบริเวณเต้านม ในช่องท้อง
บริเวณคอ รักแร้ ขาหนีบ
3.มีอาการผิดปกติเรื้อรังของระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ กลืนอาหารไม่ลง
ท้องผูกสลับ กับท้องเสียอยู่เรื่อย ถ่ายเป็นมูกปนเลือดเรื้อรัง
4.มีอาการไอเรื้อรัง หรือเสียงแหบแห้งอยู่นาน
5.มีการเปลี่ยนแปลงของหูด ไฝ ปาน ที่เคยมีอยู่ก่อน เช่น วันดีคืนดี ก็มีอาการคันเกาแตกเป็นแผล
6.มีอาการผิดปกติของประจำเดือนในผู้หญิง เช่น มีประจำเดือนกะปริดกะปรอย
7.มีน้ำเหลืองหรือเลือด หรือสิ่งผิดปกติอื่น ๆ ออกจากตา หู จมูก เต้านม ช่องคลอด ทวารหนัก

ข้อแนะนำ
1. การรักษาโรคนี้ผู้ป่วยจำต้องมีความอดทน และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ อย่าเชื่อชาวบ้าน
ด้วยกันอย่างผิด ๆ อย่าเปลี่ยนหมอเปลี่ยนโรงพยาบาลบ่อย และอย่าหันไปพี่งยาหม้อหรือไสยศาสตร์
แทนการแพทย์แผนปัจจุบัน วิธีการดังกล่าวอาจช่วยให้เกิดกำลังใจดีขึ้น แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน
ว่าจะรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้
2. ทั้งผู้ป่วยและญาติ ควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจ ด้วยการยอมรับความจริง, ทำใจให้อยู่กับ
ปัจจุบันและใช้เวลาปัจจุบันให้มีคุณค่าที่สุด, ระหว่างการรักษากับแพทย์และยังสามารถทำกิจกรรม
ต่าง ๆ ได้ดี ก็ทำหน้าที่การงานที่รับผิดชอบให้ดีที่สุด, หาโอกาสช่วยเหลือผู้อื่น, ทำสมาธิ หรือเจริญ
สติสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ, เจริญมรณสติ และเตรียมพร้อมที่จะเผชิญวาระสุดท้าย
ของชีวิต, หาทางเข้ากลุ่ม พูดคุยปรับทุกข์ และให้กำลังใจร่วมกันกับผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งด้วยกัน (เช่น
การเข้า กลุ่มหรือชมรมช่วยเพื่อน)
3. มะเร็งเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้ ถ้าตรวจพบและรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรกที่เป็น
ดังนั้นจึงควรแนะนำให้ประชาชนทั่วไปทราบถึง " สัญญาณอันตราย 7 ประการ" ของโรคนี้ หากสง
สัยควรปรึกษาแพทย์เสียแต่เนิ่น ๆ เมื่อแพทย์ตรวจแล้วว่าไม่เป็นมะเร็ง ก็สบายใจได้อย่าได้วิตก
กังวลจนเกินเหตุ
4. ถึงแม้จะไม่มีอาการผิดปกติ ก็ควรหมั่นปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจเช็กมะเร็งในระยะเริ่มแรก
(ก่อนปรากฏอาการ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เคยมีญาติพี่น้องเป็นมะเร็ง ตามแนวทางดังนี้
4.1 ทั้งชาย และหญิง
- อายุ 50 ปีขึ้นไป ควรตรวจมะเร็งทวารหนักด้วยวิธีส่องกล้อง (sigmoidoscope) ทุก 3-5 ปี และ
ตรวจอุจจาระดูว่า มีเลือดออกหรือไม่ โดยวิธีที่เรียกว่า "Occult blood test" ทุกปี
- อายุ 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจมะเร็งทวารหนัก ด้วยการใช้นิ้วตรวจภายในทวารหนัก (digital rectal
examination) ทุกปี
4.2 เฉพาะผู้ชาย อายุ 50 ปีขึ้นไป ควรตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมาก ด้วยการใช้นิ้วตรวจภายใน
ทวารหนัก และตรวจเลือดหาสารพีเอสเอ (PSA/Prostate-specific antigen)
4.3 เฉพาะผู้หญิง
- อายุ 18 ปีขึ้นไป ทั้งโสดและแต่งงานแล้ว หรืออายุต่ำกว่านี้ที่มีเพศสัมพันธ์บ่อย (โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่งอายุ 35-60 ปี ที่แต่งงานแล้ว) ควรตรวจหามะเร็งปากมดลูกระยะเริ่มแรก ด้วยวิธีแพ็ปสเมียร์
(Pap smear/Papanicolaou test) ปีละครั้ง ติดต่อกันอย่างน้อย 3 ครั้ง เมื่อพบว่าปกติ ก็เว้นไป
ตรวจทุก
3-5 ปี หรือตามคำแนะนำของแพทย์
- อายุ 20 ปีขึ้นไป ควรตรวจเต้านมด้วยตนเอง ทุกเดือน
- อายุ 20-40 ปี ควรพบแพทย์เพื่อตรวจเต้านมทุก 3 ปี และอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจปีละครั้ง
- อายุ 40-50 ปี ควรตรวจหามะเร็งเต้านมระยะเริ่มแรก ด้วยการถ่ายภาพรังสี ที่เรียกว่า แมมโม
กราฟี (mammography) ทุก 1-2 ปี และอายุ 50 ปีขึ้นไป ควรตรวจทุกปี

การป้องกัน
การปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันมะเร็ง
1. พยายามรักษาสุขภาพให้แข็งแรง โดยการออกกำลังกายเป็นประจำ, พักผ่อนให้เพียงพอ,
หาทางผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีต่าง ๆ อย่าอยู่ในที่ ๆ อากาศไม่บริสุทธิ์ งดสิ่งเสพติด เช่น
เหล้า บุหรี่ หมากพลู ยาฉุน, รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑฑ์ปกติ โดยคิดจากดัชนีความหนา
ของร่างกาย (BMI/Body mass index) ตามสูตรดังนี้

ดัชนีความหนาของร่างกาย = น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม หารด้วย ส่วนสูง(เป็นเมตร) ยกกำลังสอง

ปกติจะอยู่ในช่วง 20-24.9 กก./ตารางเมตร ถ้าต่ำกว่า 20 แสดงว่าน้ำหนักน้อยเกินไป ถ้ามากกว่า
24.9 ก็แสดงว่าน้ำหนักมากเกินไป
2. อย่ากินอาหาร หรือดื่มเครื่องดื่มที่ร้อน ๆ
3. อย่ากินอาหารดิบหรือสุก ๆ ดิบ ๆ (โดยเฉพาะปลาน้ำจืดดิบ) หรืออาหารที่มีเชื้อรา (เช่น ถั่วลิสง
บด พริกแห้ง หัวหอม กระเทียมที่ขึ้นรา)
4. พยายามหลีกเลี่ยงอาหารโปรตีนหมัก เช่น ปลาร้า ปลาส้ม หมูส้ม แหนม หรือ เนื้อสัตว์ ที่หมัก
โดยผสมดินประสิว (เช่น เนื้อเค็ม กุนเชียง ไส้กรอก แฮม) ถ้าจะกินควรทำให้สุกเพื่อทำลายสาร
ไนโตรซามีนเสียก่อน
5. พยายามอย่ากินอาหาร หรือขนมที่ใส่สีย้อมผ้า (ซึ่งทำให้ดูสีสดใสน่ากิน) หรืออาหารที่มียาฆ่า
แมลงเจือปนโดยเฉพาะ ดีดีที หรือยาที่เข้าสารหนู
6. ลดอาหารที่มีไขมัน (เช่น มันสัตว์, ของทอด, ของผัดน้ำมัน, อาหารใส่กะทิ) และจำกัดการกิน
น้ำตาล และของหวาน อย่าให้น้ำหนักตัวมากเกินเกณฑ์ปกติ
ส่วนเนื้อสัตว์ใหญ่ (เช่น หมู วัว ควาย แกะ) ควรกินไม่เกินวันละ 80 กรัม (3 ออนซ์) ควรเลือกกิน
ปลาและเนื้อสัตว์เล็กแทนสัตว์ใหญ่ ทางที่ดีควรกินสารโปรตีนจากถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จาก
ถั่วเหลือง (เช่น เต้าหู้ เนื้อเทียม) แทนเนื้อสัตว์
7. กินผัก (เช่น ผักใบเขียว ผักกะกล่ำ ดอกกะหล่ำ ผักคะน้า เป็นต้น), ผลไม้ (เช่น ฝรั่ง แอปเปิล
มะละกอ องุ่น ฟักทอง มะเขือเทศ ส้ม เป็นต้น, เมล็ดธัญพืช (เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโพด ข้าวฟ่าง งา
ลูกเดือย ถั่ว ต่าง ๆ เป็นต้น) หัวพืชต่าง ๆ (เช่น เผือก มัน แครอต หัวไช้เท้า เป็นต้น) และพวกกล้วย
ให้มาก ๆ ทุกวัน
อาหารเหล่านี้จะมีสารที่ช่วยป้องกันมะเร็ง เช่น กากใย, สารฟีนอล (phenol), สารฟลาโวน
(flavones)สารแคโรทีน (carotene) เป็นต้น
ผักและผลไม้ควรกินวันละ 400-800 กรัม (15-30 ออนซ์) หรือ 5 ส่วนหรือมากกว่า กินให้มากและ
หลากหลายตลอดทั้งปี (1 ส่วนเท่ากับผักสด 1 ถ้วยตวงขนาด 250 มล. หรือผักสุกครึ่งถ้วยตวง หรือ
ผลไม้ 1 ผล หรือผลไม้หั่นครึ่งถ้วยตวง) ส่วนเมล็ดธัญพืช หัวพืชต่าง ๆ และพวกกล้วย ควรกินวันละ
600-800 กรัม (20-30 ออนซ์) หรือ 7 ส่วนหรือมากกว่า พยายามกินอาหารที่ไม่ผ่านกระบวนการ
แปรรูป
8. ลดการกินอาหารของรมควัน ย่าง หรือของทอดจนเกรียม (เพราะมีสารก่อมะเร็ง)
9. จำกัดการกินเกลือและอาหารเค็ม ผู้ใหญ่กินเกลือวันละไม่เกิน 6 กรัม (7.5 มล.หรือหนึ่งช้อนชา
ครึ่ง) ส่วนเด็กวันละไม่เกิน 3 กรัมต่อ 1,000 กิโลแคลอรี
10. อย่าอยู่กลางแดดจัด ๆ เป็นเวลานาน ๆ

การตรวจเต้านมด้วยตนเอง
1. การคลำเต้านมในท่ายืน ใช้ฝ่ามือด้านตรงข้ามคลำตรวจเต้านมทีละข้าง สังเกตดูว่ามีก้อนอะไร
ดันอยู่ หรือสะดุดใต้ฝ่ามือหรือไม่ (มะเร็งของเต้านมมักจะพบที่ส่วนบนด้านนอกของเต้านมมาก
กว่าส่วนอื่น จึงควรสังเกตดูบริเวณนี้ให้ละเอียด)
2. และ 3. การดูเต้านมตรงหน้ากระจกเงา ในท่ามือเท้าเอว และท่าชูมือขึ้นเหนือศีรษะ สังเกตดู
ลักษณะเต้านมทั้ง 2 ข้างโดยละเอียด เปรียบเทียบดูขนาด รูปร่าง หัวนม และการเปลี่ยนแปลงของ
ผิวหนังทุกส่วนของเต้านม ( เช่น รอยนูนขึ้นผิดปกติ, รอยบุ๋ม, หัวนมบอด, ระดับของหัวนมไม่เท่า
กัน)
4. การคลำเต้านมในท่านอน ควรใช้หมอนหรือผ้าห่มหนุนตรงสะบัก ให้อกด้านที่ จะตรวจแอ่นขึ้น
ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ
5. (ในท่านอน) ใช้ฝ่ามือข้างซ้ายคลำเต้านมข้างขวาโดยคลำไปรอบๆ หัวนมเป็นรูปวงกลม ไล่จาก
ด้านนอกเข้ามายังหัวนม
6. แล้วใช้นิ้วบีบหัวนม สังเกตดูว่ามีน้ำเหลือง หรือเลือดออกจากหัวนมหรือไม่ ให้ทำการตรวจ
เต้านมข้างขวาโดยใช้มือซ้าย ทำซ้ำข้อ 4,5,6